









หน้าหลัก >> รู้จักหน่วยงาน >> หน่วยงานภายในกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม >> กองส่งเสริมและเผยแพร่ >> จำนวนผู้เข้าชม: 112,020
กำเนิด Blue Carbon ที่พึ่งสุดท้ายของชาวโลก?
บลูคาร์บอน (Blue Carbon) เกิดขึ้นได้อย่างไร?
โลกของเรามีวัฏจักรของคาร์บอนหมุนเวียนผ่านสิ่งมีชีวิตและวัตถุต่าง ๆ เช่น การหมุนเวียนผ่านการสังเคราะห์แสงของพืชบนดินไปจนถึงพืชในน้ำ การหมุนเวียนของคาร์บอนผ่านพืชและสัตว์น้ำเรียกว่า บลูคาร์บอน (สีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ของน้ำและท้องทะเล)
ในเมื่อคาร์บอนมีวัฏจักร ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น กรีนคาร์บอน (Green Carbon) หรือ บลูคาร์บอน (Blue Carbon) ก็จะต้องมีการหมุนเวียนผ่านสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่พวกมันไม่ได้ถูกหมุนเวียนทั้งหมด เพราะคาร์บอนมีส่วนเกินมากมายมหาศาล และส่วนเกินนี้อาจทำให้สมดุลของสภาพอากาศโลกมีปัญหา
แต่มีปรากฎการณ์หนึ่งซึ่งเรียกว่า คาร์บอน ซิงค์ (Carbon sink) หรือการตกตะกอนของคาร์บอน ซึ่งเป็นการเก็บกักตามธรรมชาติ ทั้งในดิน ในกระบวนการสังเคราะห์แสง และการนอนก้นใต้มหาสมุทร
การตกตะกอนนอนก้นของคาร์บอนในมหาสมุทรนี่เองที่เรียกว่า “บลูคาร์บอน” แถมยังเป็น คาร์บอน ซิงค์ ที่ดีที่สุดในโลก สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าหนึ่งในสี่ของคาร์บอนที่มนุษย์ปล่อยสู่อากาศ
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า บลูคาร์บอน เกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ 1. เกิดขึ้นจากกระบวนการดูดซับโดยสิ่งมีชีวิตในทะเล และ 2. การเกิดขึ้นจากการดูดซับของพืชชายฝั่งทะเล
การดูดซับโดยสิ่งมีชีวิตในทะเล เริ่มต้นจากกระบวนการทางเคมี คือ เมื่อก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไหลจากอากาศลงสู่ทะเล แล้วละลายกลายเป็นส่วนหนึ่งของน้ำทะเล
จากนั้นจะนำไปสู่กระบวนการทางชีวภาพ โดยคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกดูดซับโดยสิ่งมีชีวิตในทะเล เช่น ไฟโตแพลงตอน (Biological pump) ซึ่งพวกมันจะใช้คาร์บอนในการสังเคราะห์แสงเป็นปริมาณมหาศาลมากกว่าที่มนุษย์ปล่อยออกมา ผ่านการเผาผลาญถึง 10 เท่า ดังนั้นสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในทะเลจึงมีส่วนสำคัญในการดึงคาร์บอนที่มนุษย์ปล่อยออกมา และทำให้ส่วนเกินกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ (1)
เมื่อสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ เช่น แพลงตอนสังเคราะห์แสงแล้วมันจะปล่อยคาร์บอนกลับออกไปสู่อากาศเป็นวัฏจักรต่อเนื่องกันไป แต่มีคาร์บอนส่วนหนึ่งจะตกตะกอนนอนก้นอยู่ที่มหาสมุทร กลายเป็นคลัง “บลูคาร์บอน” ที่นอนหลับไหลใต้พื้นทะเลยาวนานหลายพันปี
ส่วนการดูดซับของพืชชายฝั่งทะเลนั้นจะคล้าย ๆ กับ กรีนคาร์บอน หรือกระบวนการในป่าภาคพื้นดิน เพียงแต่เมื่อคาร์บอนถูกดูดซับโดยป่าชายเลน หญ้าทะเล และพืชในหนองน้ำเค็มแล้วมันจะถูกถ่ายเทไปยังทะเลลึก กลายเป็นส่วนหนึ่งของคลังบลูคาร์บอนที่สามารถเก็บกักไว้นานหลายพันปีเช่นกัน
บลูคาร์บอนช่วยลดโลกร้อนอย่างไร?
มหาสมุทรดูดซับทั้งความร้อนและคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ จึงช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ในส่วนของการกักเก็บและกระจายอุณหภูมินั้น มหาสมุทรดูดซับความร้อนของดวงอาทิตย์ที่มาถึงพื้นผิวโลก แล้วกระจายความร้อนไปในห้วงน้ำอันกว้างใหญ่ จากนั้นค่อย ๆ ปล่อยมันกลับสู่บรรยากาศ กระบวนการจัดเก็บและการไหลเวียนลักษณะนี้ ป้องกันการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของอุณหภูมิ และทำให้สภาพอากาศบริเวณชายฝั่งทะเลไม่รุนแรง
ในส่วนของการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มหาสมุทรได้ดูดซับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากน้ำมือมนุษย์ประมาณ 1 ใน 3 ตั้งแต่ต้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม นำไปสู่การฝังตัวของคาร์บอนนอนก้นที่พื้นมหาสมุทร โดยความช่วยเหลือของพืชทะเลชนิดต่าง ๆ ซึ่งการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้ช่วยลดผลกระทบของภาวะโลกร้อนโดยการลดความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ
อย่างไรก็ตาม การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลและความร้อนอย่างต่อเนื่อง กำลังเปลี่ยนแปลงสภาพของมหาสมุทร ทำให้มหาสมุทรร้อนมากขึ้นจนสูญเสียสมดุล และคาร์บอนที่ละลายลงสู่น้ำทะเลมีมากเกินไปจนทำให้ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ในทะเลลดลงอย่างมากในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพทางชีวเคมีของมหาสมุทร (1)
สถานการณ์ของบลูคาร์บอนไม่สู้ดีนัก
ป่าโกงกาง, หญ้าทะเล และที่ลุ่มชื้นแฉะริมทะเลเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้บลูคาร์บอนถูกกักเก็บไว้ที่พื้นมหาสมุทร และมีศักยภาพในการกักเก็บนานหลายพันปี แต่ในเวลานี้แหล่งอาศัยของพืชทะเลกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก ทำให้คาร์บอนที่ถูกเก็บไว้นับพันปีถูกปล่อยออกมา และยิ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกเลวร้ายยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้
สหประชาชาติมีเป้าหมายอย่างไร
สหประชาชาติ โดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) จึงได้มีความริเริ่มบลูคาร์บอน (Blue Carbon Initiative) ขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในปี พ.ศ. 2568 จะต้องบรรลุผล ดังต่อไปนี้
จะเห็นได้ว่ามหาสมุทรได้ทำหน้าที่ในการดูดซับทั้งความร้อนและคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ เพื่อสร้างสมดุล ซึ่งก็คือช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่ทั่วโลกกำลังเผชิญและหาทางก้ไขปัญหาอยู่
แต่อย่างไรก็ดี ในเวลานี้แหล่งอาศัยของพืชทะเล ทั้งป่าโกงกาง หญ้าทะเล และที่ลุ่มชื้นแฉะริมทะเล ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญของระบบนิเวศบลูคาร์บอนให้ถูกกักเก็บไว้ที่พื้นมหาสมุทร และมีศักยภาพในการกักเก็บนานหลายพันปีกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก
การจะช่วยโลกให้รักษาสมดุลไว้ได้ จึงต้องหยุดทำลายทรัพยากรทางทะเลสำคัญเหล่านี้
#คุณภาพสิ่งแวดล้อมคือคุณภาพชีวิต
#COP25Chile
#ClimateAction
#TimeForAction
อ้างอิง
https://www.iucn.org/content/mangrove-forests-worldwide-decline